Ulthera นวัตกรรมช่วยยกกระชับผิวระดับโลก
พลังงานส่งตรงเข้าสู่ผิวอย่างแม่นยำ ลงลึกถึงชั้น SMAS ผิวเฟิร์ม กรอบหน้าเป๊ะ คืนความอ่อนเยาว์ให้ผิวอีกครั้ง
Ulthera
นวัตกรรมที่ช่วยยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยให้กลับมาเฟิร์มกระชับอีกครั้ง ช่วยแก้ไขปัญหาหนังตาตก ดึงกระชับขอบตาล่างที่หย่อนคล้อย ช่วยปรับรูปหน้า ให้ใบหน้าดูเรียวขึ้น ผิวเฟิร์มกระชับมากขึ้น กรอบหน้าคมชัดมากขึ้น รวมถึงช่วยลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ บนบริเวณใบหน้า และ ลำคอ
Ulthera คืออะไร
Ulthera ใช้พลังงานลงลึกเข้าสู่ผิว โดยปล่อยพลังงานคลื่นอัลตราซาวด์ (Ultrasound) ที่มีพลังงานความถี่สูงเฉพาะเจาะจง ลงลึกสู่ใต้ชั้นผิวหนัง ตรงรอยต่อของชั้นกล้ามเนื้อส่วนบน (SMAS) ในระดับที่เทคโนโลยีอื่นๆ ไม่สามารถทำได้มาก่อน พลังงานคลื่นเสียงมีความถี่สูงจะถูกเปลี่ยนเป็นความร้อนจุดเล็กๆ มีอุณหภูมิประมาณ 65 – 75 องศาเซลเซียส การส่งผ่านคลื่นเสียงนี้ จะทำให้เกิดรอยหดตัวขนาด 1 มิลลิเมตร บริเวณชั้นใต้ผิวหนัง เป็นจุดเล็กๆ ระยะห่างระหว่างจุดเท่าๆ กันประมาณ 1 – 1.5 มิลลิเมตร ซึ่งทำให้เกิดการกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ซึ่งเป็นเซลล์หลักที่สร้างคอลลาเจนและอิลาสติน โดยผสานการทำงานกันด้วย 2 กระบวนการที่เรียกว่า ‘Rebuild & Repair’ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่และซ่อมแซมคอลลาเจนเดิม
Ultherapy ใช้คลื่นเสียงที่มีความถี่สูง ที่มีความเฉพาะเจาะจง( Focus Ultrasound ) และแม่นยำ โดยส่งผ่านพลังงานขนาดเล็กๆ จำนวนมากลงไปยังผิวหนังชั้นลึก (Selective delivery of acoustic energy) ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดในวงการแพทย์ผิวหนัง เพื่อใช้ในการยกกระชับผิวหย่อนคล้อยให้ตึงขึ้น โดยใช้เวลาในการรักษาประมาณ 30-45 นาที และไม่ทำให้เกิดบาดแผล หลังการทำสามารถแต่งหน้าได้ตามปกติโดยไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น
รู้สึกอย่างไรระหว่างทำโปรแกรม Ulthera
ขณะทำการรักษา เมื่อปล่อยคลื่นอัลตราซาวด์ลงสู่เนื้อเยื่อใต้ชั้นผิว คุณจะรู้สึกเหมือนมีการเย็บเนื้อใต้ผิวหนังจริงๆเหมือนมีหนามเล็ก ๆ แทงลงบนผิวลึก ๆ และจะรู้สึกอุ่น ๆ ที่ใต้ผิวหนัง ซึ่งความรู้สึกนี้จะแตกต่างกันในแต่ละบุคคล การทายาชาสามารถช่วยบรรเทาผิวได้ในระดับหนึ่ง และในบางรายอาจมีผิวแดงขึ้นเล็กน้อย แต่ก็จะหายไปเองภายในไม่เกิน 2 – 3 ชั่วโมง สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้ตามปกติโดยไม่มีบาดแผลใดๆ ใช้เวลาในการรักษาประมาณ 30 – 45 นาที ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำการรักษา สามารถแต่งหน้าได้ตามปกติหลังการรักษา
Ulthera ปลอดภัยหรือไม่
เทคโนโลยีอัลตราซาวด์ได้ถูกนำมาใช้ในการรักษาทางการแพทย์มานานกว่า 50 ปี และมีการใช้ Ultherapy โดยแพทย์ผิวหนัง และ แพทย์ทางด้านศัลยกรรมตกแต่งชั้นนำทั่วโลกมามากกว่า 3,000 ราย พบว่าโปรแกรม Ulthera มีความปลอดภัยสูง และเป็นที่ยอมรับถึงประสิทธิภาพและผลการรักษาอย่างแพร่หลาย
โดยเครื่อง Ulthera จะมีจอภาพแสดงชั้นผิวหนังแบบ Real time ในขณะที่แพทย์ทำการรักษา จึงมั่นใจได้ว่า พลังงานได้ลงสู่ชั้นผิวอย่างแม่นยำ ไม่คลาดเคลื่อน และจำเพาะเจาะจงด้วยคุณสมบัติของ Focused Ultrasound ที่สามารถส่งพลังงานสู่ชั้นผิวที่ลึกที่สุด คือชั้นที่ห่อหุ้มกล้ามเนื้อ (SMAS) ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับการผ่าตัดดึงหน้า ดังนั้นการที่แพทย์สามารถมองเห็นภาพแสดงชั้นผิวว่าสามารถส่งพลังงานลงไปถูกจุดถูกชั้น จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อหลีกเลี่ยงอาการแทรกซ้อนต่างๆ ได้ดีที่สุด
นวัตกรรมที่ช่วยยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยให้กลับมาเฟิร์มกระชับอีกครั้ง ช่วยแก้ไขปัญหาหนังตาตก ดึงกระชับขอบตาล่างที่หย่อนคล้อย ช่วยปรับรูปหน้า ให้ใบหน้าดูเรียวขึ้น ผิวเฟิร์มกระชับมากขึ้น กรอบหน้าคมชัดมากขึ้น รวมถึงช่วยลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ บนบริเวณใบหน้า และ ลำคอ
Ulthera เหมาะกับใคร
Ulthera จะใช้ได้ผลดีกับคนที่มีปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อยบริเวณแก้ม ผิวไม่เฟิร์มกระชับ
เหมาะกับคนที่มีปัญหาหนังตาตก คิ้วตก รวมทั้งขอบตาล่างหย่อนคล้อย
เหมาะกับผู้ที่มีรอยเหี่ยวย่น มีเหนียงบริเวณลำคอ
เหมาะกับผู้ที่อยากมีใบหน้าที่เฟิร์มกระชับ กรอบหน้าชัด ใบหน้าดูเรียวเล็กขึ้น
เหมาะกับผู้ที่มีริ้วรอยเล็กๆบริเวณใบหน้า เพราะจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น
ผลลัพธ์ที่น่าประทับใจ
ผลลัพธ์หลังทำ จะสังเกตได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของการยกกระชับได้ทันทีหลังทำโดยประมาณ 20-30% ในครั้งแรก ส่วนผลลัพธ์ในระยะยาวคือจะค่อยๆ เห็นผลทีละน้อย และจะเห็นผลอย่างชัดเจนต่อเนื่องหลังการทำประมาณไปแล้วโดยประมาณ 1-3 เดือน และคงประสิทธิภาพได้ยาวนานโดยประมาณ 8-12 เดือน นอกจากนี้แล้วยังทำให้สภาพผิวโดยรวมดูดีขึ้นใน 3 มิติ ทั้ง Rejuvenating ผิวดูเรียบเนียน รูขุมขนดูเล็กลง ผิวสดใสดูมีชีวิตชีวามากขึ้น Tightening ผิวเต่งตึง อิ่มฟู และ Lifting ผิวยกกระชับได้รูปแลดูเป็นธรรมชาติ
การดูแลตนเองหลังการทำ Ulthera
อาจมีอาการบวมแดงอักเสบในบริเวณที่รับการรักษาเป็นเวลา 2-3 ชั่วโมง และจะหายไปตามปกติ
ไม่ใช้น้ำร้อนล้างหน้าเพราะจะทำให้ผิวได้รับพลังงานความร้อนมากจนเกินไป
หลีกเลี่ยงการเข้าสตรีม หรือ อบซาวน่าในช่วงสัปดาห์แรกที่ทำการรักษา
หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดโดยตรง ทาครีมบำรุง และ ครีมกันแดดทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน
เช็คก่อนทำว่าเป็น Ulthera เครื่องแท้หรือไม่
เนื่องจากปัจจุบันมีคลินิกผู้ให้บริการทรีตเมนต์ Ultherapy เป็นจำนวนมาก จึงควรเช็คให้แน่ใจว่าจะได้รับทรีตเมนต์ Ultherapy จากเครื่องแท้ โดย เมิร์ซ เอสเธติกส์ อย่างแท้จริง ซึ่งสามารถตรวจสอบรายชื่อคลินิกมากกว่า 200 แห่งที่ให้บริการ (ใช้เครื่อง Ulthera แท้) จาก Facebook Page ‘Merz Aesthetics Thailand’ หรือ เข้าเว็บ merzclubthailand.com ก็ทำได้ง่าย ๆ เช่นกัน หรือเวลาเข้าไปใช้บริการในสถานรับบริการนั้น ๆ ก็สามารถตรวจสอบก่อนทำหัตถการได้ โดยดูที่เครื่องที่มีสัญลักษณ์รูปเพชรของ เมิร์ซ เอสเธติกส์ ซึ่งตัวเครื่อง Ulthera นำเข้าโดยบริษัท Merz Aesthetics เท่านั้น
Ulthera แตกต่างจาก Thermage อย่างไร
บางคนอาจเคยสงสัยว่า 2 โปรแกรมนี้ ก็โดดเด่นในเรื่องของการยกกระชับผิวเหมือนกัน แล้วมันแตกต่างกันอย่างไร หรือ ปัญหาผิวแบบนี้ ควรทำโปรแกรมไหนดีถึงจะตอบโจทย์มากที่สุด นภัสรีย์ คลินิก ขอชี้แจงรายละเอียดดังนี้
Ulthera คือโปรแกรมที่ช่วยยกกระชับผิวที่มีมาตั้งแต่ปี 2004 โดยเทคโนโลยีที่ใช้คือพลังงานคลื่นเสียง (non-surgical lifting and tightening treatments using therapeutic ultrasound technology) โดนเป็นเครื่องมือที่ยอมรับให้ใช้สำหรับบนใบหน้าและคอ ผ่านการรับรองจาก US FDA หรือ อย. ของอเมริกา ช่วยในเรื่องของการยกกระชับบริเวณส่วนต่าง ๆ ของใบหน้า คิ้วตก ตาตก ผิวหน้าหย่อนคล้อย รวมถึงสามารถช่วยยกกระชับผิวบริเวณเหนียงและลำคอ ส่งผลให้เครื่อง Ulthera ถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่องและ เป็นที่ยอมรับจนถึงปัจจุบันโดยประมาณ 20 ปี มาแล้ว
Thermage คือโปรแกรมยกกระชับผิว ที่ใช้เทคโนโลยีคลื่นวิทยุความถี่สูง (non-invasive radiofrequency therapy for smooth, tighten and contour skin) ซึ่งมีมาตั้งแต่ปี 1996 และเข้ามาประเทศไทยเมื่อปี 2004 สามารถใช้ยิงเพื่อยกกระชับใบหน้าลำคอ และ รวมถึงบริเวณหน้าท้อง ต้นแขน และต้นขา นอกจากจะช่วยยกระชับผิวแล้วยังช่วยสลายไขมันส่วนเกินได้ในขั้นตอนเดียว โดยผ่านการรับรองจาก US FDA ในเรื่องการยกกระชับ
เห็นได้ชัดว่าทั้งสองเครื่องนั้นมีจุดประสงค์คล้าย ๆ กัน และจะรู้ได้อย่างไรว่าปัญหาผิวของเราจะเหมาะสมกับโปรแกรมไหนมากที่สุด ทางคลินิกจึงขออธิบายเป็นตารางเปรียบเทียบเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้นดังนี้
