กู้ผิวสวยช่วยผิวใส Radiesse คืออะไร ราคาเท่าไร ใครบ้างที่ควรทำ

กู้ผิวสวยช่วยผิวใส Radiesse คืออะไร ราคาเท่าไร ใครบ้างที่ควรทำ

เทรนด์ผิวสุขภาพดีในปัจจุบัน ไม่ใช่แค่การแต่งหน้าให้ปัง แต่ยังรวมถึงการดูแลแบบล้ำลึก กู้ผิวใสให้กลับคืนมา รวมถึงดูแลสภาพผิวให้แข็งแรง Radiesse จึงเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมความงามที่ช่วยให้ผิวมีคุณภาพที่ดีจากภายในได้อย่างดี ตอบโจทย์เทรนด์งานผิวปั๊วะปังที่ทุกคนใฝ่ฝันนั่นคือ ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ แต่ผิวหน้ายังคงสภาพผิวให้กลับมาดูอ่อนเยาว์อีกครั้ง 

สำหรับใครที่ยังไม่รู้จักว่า Radiesse ช่วยบำรุงผิวหน้าในเรื่องอะไรบ้าง หรือไม่มั่นใจว่าตนเองเหมาะกับผลิตภัณฑ์ตัวนี้หรือเปล่า เราจะพาไปทำความรู้จักกับ Radiesse แบบเจาะลึก ใครที่กำลังสนใจ บอกเลยห้ามพลาด!

Radiesse คืออะไร ?

Radiesse (เรเดียสซ์) ถือว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ของการฉีดกระตุ้นผิวที่กำลังได้รับความนิยมในตอนนี้ เพราะมีความพิเศษกว่าการฉีดฟิลเลอร์ทั่วไปตรงที่ไม่ได้มีตัว ไฮยาลูรอน เป็นส่วนประกอบหลัก แต่ใช้ CaHA (Calcium Hydroxylapatite microsphere) เป็นส่วนประกอบสำคัญแทน ซึ่งเป็นสารที่คิดค้น และวิจัยโดย Merz Aesthetics ได้รับความไว้วางใจในหลายประเทศทั่วโลกมาตั้งแต่ปี 2006 มียอดการใช้กว่า 15 ล้านไซริงค์ จาก 85 แห่งทั่วโลก 

จุดเด่นหลัก ๆ ของ Radiesse คือ ช่วยกระตุ้นการสร้างใหม่ของคอลลาเจน ฟื้นฟู เติมเต็มร่องลึก และลดเลือนริ้วรอยได้ในการฉีดครั้งเดียว พร้อมกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิว โดยผลลัพธ์อยู่ได้นานถึง 2 ปี เรียกง่าย ๆ ว่าเป็นฟิลเลอร์ขั้นสูงที่ใช้เติมเต็มร่องลึก และ ริ้วรอยบนใบหน้า ช่วยให้ผิวกลับมาอ่อนเยาว์อีกครั้งนั่นเอง

Radiesse เหมาะกับใคร

  • ผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป หรือมีผิวแก่ก่อนวัย 
  • มีปัญหาผิวเหี่ยว ริ้วรอย มีร่องลึกที่ต้องการเติมเต็ม เช่น ร่องน้ำหมาก ร่องแก้ม
  • ใบหน้าหย่อนคล้อย ไม่กระชับ 
  • ต้องการแก้ปัญหาความเหี่ยวย่นบริเวณ หลังมือ คอ หรือเนินอก
  • ต้องการแก้ปัญหาผิวแห้งกร้าน มีรูขุมขนกว้าง ผิวหน้าขรุขระ
  • คนที่ต้องการผลลัพธ์ในการรักษาที่รวดเร็ว ต้องการแก้ไขปัญหาระยะยาว

Radiesse ราคาเท่าไหร่ ฉีดตรงไหนได้บ้าง

ราคามาตรฐานของ Radiesse จะอยู่ที่ประมาณ 36,000 บาท ในปริมาณ 1.5 ซีซี ต่อหลอด ขณะที่ฟิลเลอร์ทั่วไปจะได้เพียง 1 ซีซี เท่านั้น ซึ่งถือว่าคุ้มค่า และราคาเข้าถึงได้ สามารถฉีดได้หลายจุดหลายตำแหน่ง ส่วนปริมาณที่ใช้ส่วนใหญ่จะใช้เพียง 1 หลอดต่อ 1 ตำแหน่ง

Radiesse สามารถฉีดตำแหน่งไหนได้บ้าง ?

Radiesse สามารถฉีดได้หลายตำแหน่ง เช่น ใบหน้า ร่องแก้ม ร่องนํ้าหมาก เป็นต้น โดยปริมาณที่ใช้ในแต่ละบริเวณอาจไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของตัวบุคคล เป้าหมายในการแก้ไข ความหนาแน่นของผิวหนัง และบริเวณที่จะฉีด ดังนั้นการใช้ Radiesse ปริมาณที่แน่นอน จะต้องได้รับการประเมินโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนทุกครั้ง ซึ่งหลัก ๆ การฉีด Radiesse สามารถทำได้หลายตำแหน่ง ดังนี้

  • ร่องแก้ม อายุมากขึ้น ยิ่งเกิดร่องแก้มได้ชัด สามารถฉีด Radiesse เติมคอลลาเจนเพื่อทำให้หน้าดูอ่อนเยาว์ และร่องแก้มตื้นขึ้นได้
  • ขมับตอบ การฉีด Radiesse กระตุ้นคอลลาเจน สามารถแก้ไขปัญหาขมับตอบ และทำให้โครงหน้าชัดเจน ทำให้หน้าดูอ่อนกว่าวัย
  • กรอบหน้า คนที่กรอบหน้าไม่คมชัด การฉีด Radiesse สามารถทำให้กรอบหน้าดูชัดเจน และผิวบริเวณนั้นดูสุขภาพดีมากยิ่งขึ้น
  • หลังมือ เส้นเลือดหลังมือจะเห็นชัดขึ้นเมื่ออายุมาก การฉีด Radiesse เข้าไปจะช่วยลดริ้วรอยส่วนนี้ได้ 
  • เนินอก เป็นบริเวณที่สามารถฉีด Radiesse กระตุ้นคอลลาเจนได้ เพราะเมื่ออายุมากขึ้นเนินอกจะดูย่นและไม่เต่งตึง 
  • ร่องน้ำหมาก เป็นบริเวณมุมปากที่จะมีร่องรอยของความหย่อนคล้อยเมื่อมีอายุมากขึ้น สามารถเติมคอลลาเจนด้วยการฉีด Radiesse เพื่อลดริ้วรอยบริเวณนี้ได้

ทั้งนี้ การฉีด Radiesse เติมคอลลาเจนให้ผิวหน้า ไม่ควรฉีดในจุดที่ต้องอาศัยความละเอียดอ่อน ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทุกครั้ง

เปรียบเทียบงานผิว Radiesse vs Sculptra ต่างกันยังไง

Radiesse กับ Sculptra ถือเป็นงานผิวพรีเมียมทั้งคู่ อยากรู้ข้อแตกต่างต้องเทียบกันหมัดต่อหมัด เพราะจริง ๆ ขึ้นอยู่กับปัญหาที่เราต้องการจะแก้ไขว่ามีเป้าหมายอย่างไร อยากแก้ปัญหาที่จุดไหน ซึ่งเราเปรียบเทียบความแตกต่างของหัตถการทั้ง 2 อย่างมาให้ตามรายละเอียดด้านล่างนี้

  • Radiesse เป็นหัตถการที่ให้วอลลุ่ม และการยกกระชับทันที โดยจะเข้าไปฟื้นฟูการทำงานของโครงสร้างผิวโดยตรงเพื่อให้ผิวแน่น ผิวเฟิร์มกระชับ ดูอิ่มฟู หน้าเนียนใสอมชมพูเหมือนได้ย้อนอายุผิวกลับไปอ่อนเยาว์อีกครั้ง หลังฉีดสังเกตเห็นผลได้ทันที
  • Sculptra ก็เป็นหัตถการเพื่อให้หน้าดูเด็กเช่นกัน แต่ต่างกันตรงที่เข้าไปสร้างคอลลาเจนผ่านระบบภูมิคุ้มกัน เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนเองอย่างมีประสิทธิภาพ ผลลัพธ์ที่ได้ คือ ผิวแน่นยืดหยุ่น และคุณภาพผิวโดยรวมดีขึ้น หลังฉีดใช้เวลาประมาณ 1 เดือนจึงจะเริ่มเห็นผล

ควรเตรียมตัวอย่างไร ก่อนฉีด Radiesse ? ​

  • แจ้งประวัติการแพ้ยา และโรคประจำตัวให้แพทย์ทราบก่อนรับบริการ
  • งดยากลุ่มต้านการอักเสบ
  • งดวิตามิน อาหารเสริม และยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด 
  • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 1-2 วัน
  • งดสครับผิว และครีมบำรุงที่มีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิว

วิธีดูแลตัวเองหลังฉีด Radiesse

  • งดการดื่มแอลกอฮอล์ 
  • น้ำสะอาดให้เพียงพอ จะช่วยให้ผิวมีอิ่มฟูยิ่งขึ้น
  • หลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
  • งดออกกำลังกาย หรือหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่โดนความร้อนโดยตรง
  • ไม่ควรจับหรือสัมผัสบริเวณที่ฉีด เพราะอาจส่งผลต่อการกระจายตัวของยา
  • ไม่ควรแต่งหน้าอย่างน้อย 12 ชั่วโมง หรือจนกว่ารอยเข็มจะหายดี
  • หากผิวมีอาการแดงบวม แนะนำประคบเย็นเพื่อช่วยลดอาการช้ำ

สาขา จามจุรีสแควร์

ชั้น 3 ตึกจามจุรีสแควร์ ข้างร้านกาแฟมวลชน
(ลง MRT สามย่าน , จอดรถในตึกฟรี 2 ชม.)

Phone

สาขา อ่อนนุช

ใต้คอนโดไอดิโอ โมบิ สุขุมวิท ตึกบี ติดร้านทำผม
(ลง BTS อ่อนนุช ทางออก 3, จอดรถหน้าร้าน)

Phone

Open everyday

11:00 – 20:00

ปรึกษาฟรี ทักไลน์ไอดี

เผยผิวใสเรียบเนียนดุจผิวกระจกด้วย Relotero Revive

glossy skin by Belotero Revive
glossy skin by Belotero Revive

เผยผิวใสเรียบเนียนดุจผิวกระจกด้วย Belotero Revive

Belotero revive ฟิลเลอร์กล่องเขียวตัวฮิตที่กำลังมาแรงคืออะไร ช่วยอัพผิวสวยฉ่ำตึงกระชับราวกับผิวกระจกได้แค่ไหน มาทำความรู้จักฟิลเลอร์ตัวดังตัวนี้ไปพร้อม ๆ กัน

ในยุคนี้สมัยนี้ การอัพผิวให้สวยไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพราะเรามีทั้งนวัตกรรมเสริมความงาม รวมไปถึงตัวช่วยเพื่อกอบกู้ให้ผิวที่เคยหย่อนคล้อยกลับมาตึงกระชับ สดใสมีชีวิตชีวามากมาย หนึ่งในนั้น คือ การฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งฟิลเลอร์ตัวดังที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยในตอนนี้ คือ  Belotero Revive ฟิลเลอร์กล่องเขียวเอกสิทธิ์เฉพาะของแบรนด์ Belotero ใครที่สนใจฟิลเลอร์ตัวนี้อยู่ เราจะพาไปทำความรู้จักให้มากขึ้นกัน

Belotero Revive คืออะไร ?

Belotero Revive คือ ฟิลเลอร์ Skin Booster รุ่นล่าสุดจาก Belotero แบรนด์ฟิลเลอร์สัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ โดยบริษัท MERZ AESTHETICS ผู้นำระดับโลกด้านความงามทางการแพทย์ เป็นฟิลเลอร์ตัวแรกของโลกที่นำ กรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) และ กลีเซอรอล (Glycerol) มารวมไว้ด้วยกัน ประสิทธิภาพในการกักเก็บความชุ่มชื้นของฟิลเลอร์ตัวนี้จึงเหนือกว่าฟิลเลอร์ตัวอื่น ๆ เมื่อรวมกับเทคโนโลยีการผลิต CPM (Cohesive Polydensified Matrix) เอกสิทธิ์เฉพาะของแบรนด์ จึงทำให้ Belotero Revive กลายเป็นฟิลเลอร์ที่นอกจากจะทำให้ผิวชุ่มชื้นอิ่มฟูแล้ว ยังให้งานผิวที่เรียบเนียนดูเป็นธรรมชาติ ผิวเล่นแสงดูฉ่ำวาวราวผิวกระจกอย่างเห็นได้ชัด

Belotero Revive ดีไหม ทำไมจึงเป็นที่นิยม

ความแตกต่างของฟิลเลอร์รุ่นนี้ กับฟิลเลอร์อื่น ๆ อยู่ที่ Belotero Revive มีส่วนประกอบของ กลีเซอรอล รวมอยู่ด้วย ซึ่งฟิลเลอร์อื่น ๆ มีแค่กรดไฮยาลูรอนิกเพียงอย่างเดียว ทำให้ประสิทธิภาพในการกักเก็บความชุ่มชื้นของผิวชั้นใน และผิวชั้นนอกทำงานได้ดีขึ้น ทั้งยังช่วยล็อกความชุ่มชื้นได้อย่างยาวนาน ช่วยปลอบประโลมผิว เสริมสร้างปราการผิว และป้องกันการเกิดริ้วรอยในอนาคตได้ ผิวจึงดูโกลว์ฉ่ำสุขภาพดี มีความยืดหยุ่นสูง ใบหน้าดูแน่นกระชับ รูขุมขนดูเล็กลง นอกจากนี้ Belotero Revive ยังเป็นฟิลเลอร์ที่มีความปลอดภัยสูง สามารถสลายเองได้ตามธรรมชาติ 100% ทั้งยังได้รับการรับรองจากองค์การอาหาร และยาจากสหรัฐอเมริกา (FDA) ในยุโรป ในไทย และอีกกว่า 50 ประเทศทั่วโลกอีกด้วย

Belotero Revive เหมาะกับใคร

  • ผู้ที่ต้องการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว
  • ผู้ที่ต้องการปรับสภาพผิวให้สดใส เรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ
  • ผู้ที่มีปัญหาใบหน้าหย่อนคล้อย ขาดความตึงกระชับ รูขุมขนกว้าง
  • ผู้ที่มีผิวแห้งขาดน้ำ หน้ามัน
  • ผู้ที่มีริ้วรอยตื้น
  • ผู้ที่รูขุมขนกว้าง
  • ผู้ที่มีปัญหาแต่งหน้าไม่ติด
  • ผู้ที่มีปัญหาสิว และรอยดำจากสิว

Belotero Revive ฉีดตรงไหนได้บ้าง แต่ละจุดราคาเท่าไหร่

Belotero Revive เป็นฟิลเลอร์สำหรับปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน ขาวกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ เพื่อให้ผิวโกลว์ราวผิวกระจก จึงสามารถฉีดได้ทั่วทั้งใบหน้า หรือจะเน้นเฉพาะบริเวณที่มีปัญหา มีริ้วรอยตื้นที่เราต้องการอย่างหน้าผาก ปาก หรือใต้ตาอย่างเดียวก็ได้ สำหรับราคาเริ่มต้นต่อ 1 ซีซี อยู่ที่ประมาณ 10,000 – 20,000 บาท แตกต่างกันไปตามคลินิกที่เราเข้ารับบริการ

Belotero Revive ต้องฉีดกี่ ซีซี ถึงจะเห็นผล

การฉีดฟิลเลอร์ให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน ส่วนใหญ่มักเริ่มต้นประมาณ 1 ซีซีต่อจุด แต่ถ้าบริเวณไหนมีปัญหาค่อนข้างมาก แพทย์อาจพิจารณาให้เพิ่มปริมาณการฉีดเข้าไป ทั้งนี้ ปริมาณที่เหมาะสมจะอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์ เพื่อความปลอดภัย และความเหมาะสม โดยหลังฉีดไปแล้ว จะเริ่มเห็นผลการเปลี่ยนแปลงทันที แต่จะเห็นผลชัดเจนที่สุดหลังจากผ่านไปประมาณ 2 สัปดาห์ และผลจะยังคงอยู่ต่อไปอีกประมาณ 9 เดือน

การเตรียมตัวก่อนฉีด Belotero Revive

  • แจ้งโรคประจำตัว ยาที่แพ้ และยาที่กินประจำ ให้แพทย์รับทราบก่อนทุกครั้ง
  • ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับฟิลเลอร์ให้ชัดเจน
  • งดใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทผลัดเซลล์ผิว หรือการสครับหน้าอย่างน้อย 1 สัปดาห์
  • งดการกินอาหารเสริมอย่างน้อย 1 สัปดาห์
  • งดการออกกำลังกายหนักอย่างน้อย 1 สัปดาห์ เพื่อลดการสูบฉีดเลือด
  • หลีกเลี่ยงยากลุ่ม NSAID เพราะยากลุ่มนี้มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด
  • งดการสูบบุหรี่ และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 1 สัปดาห์

ขั้นตอนการฉีด Belotero Revive

ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ตัวนี้ เหมือนการฉีดฟิลเลอร์ทั่วไป หลังจากทำความสะอาดผิวแล้ว แพทย์จะใช้เข็มหัวเล็กฉีดลงไปบนใบหน้าเป็นจุดเล็ก ๆ ตามบริเวณที่ต้องการรักษา

การดูแลตัวเองหลังฉีด Belotero Revive

  • ทำความสะอาดใบหน้าอย่างระมัดระวัง และเบามือ
  • ห้ามสัมผัส แกะ เกา หรือกดบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ไป
  • งดการทาครีมบำรุงผิว และการแต่งหน้าอย่างน้อย 1 สัปดาห์
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ร้อนจัด เช่น บริเวณกลางแจ้ง หรือการอบซาวน่า
  • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักเป็นเวลา 1 สัปดาห์
  • ดื่มน้ำมาก ๆ พักผ่อนให้เพียงพอ
  • ควรนอนหมอนสูง และไม่ควรนอนตะแคง
  • รับประทานยาตามที่หมอสั่งอย่างเคร่งครัด

คำถามเกี่ยวกับ Belotero Revive ที่พบเห็นบ่อย

Belotero Revive ทำร่วมกับหัตถการอื่นได้หรือไม่

ได้ เพราะ belotero Revive เป็นเพียงการฉีดฟิลเลอร์เพื่อให้ใบหน้าชุ่มชื้น กระจ่างใส และเรียบเนียนเล่นแสงเท่านั้น หากต้องการทำหัตถการอย่างอื่นร่วมด้วย สามารถสอบถามแพทย์ เพื่อให้แพทย์วางแผนการรักษาที่เหมาะสมได้เลย

ฟิลเลอร์ Belotero Revive ควรฉีดกี่ครั้ง

สำหรับผู้ไม่มีปัญหา สามารถฉีดเพิ่มได้ทุก 6-9 เดือน ตามระยะเวลาของฟิลเลอร์เพื่อให้ผิวหน้าสวยกระจ่างใสอย่างต่อเนื่อง ส่วนผู้ที่มีปัญหาผิว แนะนำให้ฉีดต่อเนื่องกัน 3 ครั้ง โดยห่างกันครั้งละประมาณ 1 เดือน

สาขา จามจุรีสแควร์

ชั้น 3 ตึกจามจุรีสแควร์ ข้างร้านกาแฟมวลชน
(ลง MRT สามย่าน , จอดรถในตึกฟรี 2 ชม.)

Phone

สาขา อ่อนนุช

ใต้คอนโดไอดิโอ โมบิ สุขุมวิท ตึกบี ติดร้านทำผม
(ลง BTS อ่อนนุช ทางออก 3, จอดรถหน้าร้าน)

Phone

Open everyday

11:00 – 20:00

ปรึกษาฟรี ทักไลน์ไอดี

อยากหน้าเป๊ะต้องรู้! ฟิลเลอร์หน้าผากคืออะไร ? ต้องมีงบเท่าไหร่ ? ใครบ้างที่ควรทำ

beauty women by filler forehead
beauty women by filler forehead

อยากหน้าเป๊ะต้องรู้! ฟิลเลอร์หน้าผากคืออะไร ? ต้องมีงบเท่าไหร่ ? ใครบ้างที่ควรทำ

หน้าผากสวยนอกจากจะช่วยให้มีรูปหน้าที่ได้สัดส่วนแล้ว บางความเชื่อยังบอกว่าช่วยในเรื่องโหงวเฮ้ง และทรัพย์สมบัติอีกด้วย จึงไม่แปลกใจที่ปัจจุบันนี้การฉีดฟิลเลอร์หน้าผากกลายเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องเสริมซิลิโคนให้กังวล ช่วยลดความเสี่ยงเรื่องการบวมช้ำต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี 

หลาย ๆ คนอาจเคยได้ยินการฉีดฟิลเลอร์หน้าผากมาบ้าง แต่อาจจะยังสงสัยว่าการฉีดฟิลเลอร์หน้าผากคืออะไร ทำอย่างไร ต้องมีงบแค่ไหนถึงจะทำได้ ใครบ้างที่ควรฉีด ไม่ต้องไปหาข้อมูลที่ไหนไกล เพราะเรารวบรวมข้อมูลที่ควรรู้ก่อนการตัดสินใจไปฉีดฟิลเลอร์หน้าผากมาไว้ให้แล้ว

ฟิลเลอร์หน้าผากคืออะไร?

การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก เป็นหัตถการที่ฉีดกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) เข้าไปบริเวณหน้าผาก เพื่อปรับลักษณะของหน้าผากให้สวยละมุนยิ่งขึ้น แก้ปัญหาหน้าผากยุบ หน้าผากบุ๋ม ที่ทำให้ดูแก่กว่าวัย ให้กลับมาสวยรับกับใบหน้า ดูโหนกนูนขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ใบหน้าดูมีมิติมากขึ้น รวมถึงฉีดเพื่อปรับโหงวเฮ้งได้อีกด้วย ซึ่งกรดไฮยาลูรอนิกนี้ จะเข้าไปทำหน้าที่ในการเติมเต็มและปรับโครงสร้างของผิวให้แน่นขึ้น ทำให้ช่องว่างของผิวที่เกิดเป็นริ้วรอยร่องลึก ดูตื้นทันทีหลังทำ โดยที่เราไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้นใด ๆ 

ฟิลเลอร์หน้าผาก เหมาะกับใคร ? ปัญหาหน้าผากแบบไหนที่ควรทำ

การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้ดูมีมิติมากยิ่งขึ้น ผู้ที่อยากให้รูปหน้าตรงกับลักษณะโหงวเฮ้งมงคล หรือผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับหน้าผากดังต่อไปนี้

  • ผู้ที่มีปัญหาหน้าผากบุ๋ม มีรอยยุบ
  • มีปัญหาผิวหน้าผากไม่เรียบเนียน
  • ผู้ที่มีริ้วรอย ร่องลึกที่หน้าผาก
  • อยากปรับรูปหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด
  • หน้าผากมีรอยย่น รอยแผลเป็น หรือรอยแตก
  • หน้าผากแบน กว้าง ดูไม่สมส่วน
  • หน้าผากมีความแห้งกร้าน แต่งหน้าไม่ติด

ฟิลเลอร์หน้าผาก ราคาเท่าไหร่? อยู่ได้นานไหม?

ในปัจจุบันมียี่ห้อฟิลเลอร์อยู่หลากหลาย ทั้งยี่ห้อจากฝั่งยุโรป อเมริกา และฝั่งเอเชีย ซึ่งแต่ละยี่ห้อมีคุณสมบัติ และจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป รวมถึงตัวราคา ดังตัวอย่างต่อไปนี้

  • ยี่ห้อ Juvederm ราคาเริ่มต้นประมาณ 10,000 บาทต่อ 1 ซีซี
  • ยี่ห้อ Neuramis ราคาเริ่มต้นประมาณ 6,000 บาทต่อ 1 ซีซี
  • ยี่ห้อ Belotero ราคาเริ่มต้นประมาณ 8,000 บาทต่อ 1 ซีซี
  • ยี่ห้อ Restylane ราคาเริ่มต้นประมาณ 9,000 บาทต่อ 1 ซีซี

หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผากแล้วจะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงทันที และใช้เวลาให้ฟิลเลอร์เข้าที่ประมาณ 7-14 วัน ส่วนผลลัพธ์จะคงอยู่ได้นานแค่ไหนขึ้นอยู่กับยี่ห้อ และรุ่นของฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ รวมไปถึงการดูแลตัวเองของแต่บุคคล แต่โดยปกติจะอยู่ได้ประมาณ 1 ปี

ฟิลเลอร์หน้าผากเจ็บไหม ? อันตรายหรือไม่ ?

ไม่ต้องกังวลไป การฉีดฟิลเลอร์จะมีการแปะยาชาให้กับคนไข้ก่อน ยิ่งคุณหมอมือเบาด้วยแล้วหายห่วงแน่นอน จะมีการประคบน้ำแข็งระหว่างฉีด อาการเจ็บระหว่างฉีดจึงมีน้อยถึงน้อยมาก แต่ทั้งนี้ แนะนำว่าควรฉีดกับแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ และคลินิกที่มีใบประกอบการอย่างถูกต้องเท่านั้น เพราะการฉีดฟิลเลอร์หน้าผากมีโอกาสพลาดไปโดนเส้นเลือดที่เชื่อมไปยังดวงตาได้ ถึงแม้ฟิลเลอร์ที่ใช้ฉีดจะมีความปลอดภัยสูง แต่หากแพทย์ขาดความเชี่ยวชาญก็อาจก่อให้เกิดอันตรายได้เช่นกัน

ความแตกต่างระหว่าง ฟิลเลอร์หน้าผาก VS ผ่าตัดเสริมหน้าผาก

การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก และการผ่าตัดเสริมหน้าผาก ถือเป็นวิธีช่วยเติมเต็มหน้าผากได้เหมือนกัน แต่มีกระบวนการ และผลลัพธ์แตกต่างกันดังนี้

  • การผ่าตัดเสริมหน้าผาก เป็นการนำซิลิโคนทางการแพทย์ที่สามารถอยู่ในชั้นใต้ผิวของเราอย่างถาวรเสริมเข้าไป ผลลัพธ์ที่ได้จะคงอยู่ถาวร แต่ต้องใช้เวลาพักฟื้นค่อนข้างนาน หากหน้าผากเข้าที่แล้วเราไม่พอใจในผลลัพธ์ที่ได้ จำเป็นต้องแก้ไขด้วยการผ่าตัดออกแล้วทำใหม่เท่านั้น
  • การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก เป็นการฉีดสารเติมเต็มเข้าไปใต้ผิวหนังบริเวณหน้าผากตามจุดต่าง ๆ ที่ต้องการ เราจะสังเกตเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีหลังฉีด ไม่ต้องพักฟื้น แต่ต้องรอดูอาการว่ามีผลข้างเคียงอะไรไหมประมาณ 1 สัปดาห์ จากนั้นผลลัพธ์จะชัดเจนที่สุดหลังจากผ่านไปประมาณ 2 สัปดาห์ และผลจะยังคงอยู่ต่อไปอีกประมาณ 12 เดือน หากอยากให้หน้าผากคงรูปเดิม จำเป็นต้องมาเติมฟิลเลอร์เรื่อย ๆ และถ้าผลลัพธ์ออกมาไม่ถูกใจ สามารถฉีดสลายฟิลเลอร์เพื่อแก้ไขได้

วิธีเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก

  • เลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์ที่เปิดอย่างถูกต้องตามมาตรฐาน 
  • งดดื่มแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมง
  • งดกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด
  • งดยาหรืออาหารเสริมบางชนิด 7 วันก่อนที่จะมาฉีดฟิลเลอร์ โดยเฉพาะยาที่จะทำให้เกิดภาวะเลือดหยุดยาก เช่น แอสไพริน วิตามินอี พอนสแตน

วิธีดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก

  • ดื่มน้ำมาก ๆ จะช่วยให้ฟิลเลอร์อยู่ได้นานขึ้น
  • งดการนวด คลึง บีบ กด บริเวณที่ฉีดอย่างน้อย 48 ชั่วโมง
  • ห้ามแต่งหน้าหลังการฉีด 24 ชั่วโมง
  • ห้ามดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ หลังการฉีด 24 ชั่วโมง
  • ไม่ควรออกกำลังกายอย่างหนักในช่วง 24 ชั่วโมง 
  • งดการนวดหน้า ทำเลเซอร์ กดสิว ในช่วง 1 สัปดาห์

สาขา จามจุรีสแควร์

ชั้น 3 ตึกจามจุรีสแควร์ ข้างร้านกาแฟมวลชน
(ลง MRT สามย่าน , จอดรถในตึกฟรี 2 ชม.)

Phone

สาขา อ่อนนุช

ใต้คอนโดไอดิโอ โมบิ สุขุมวิท ตึกบี ติดร้านทำผม
(ลง BTS อ่อนนุช ทางออก 3, จอดรถหน้าร้าน)

Phone

Open everyday

11:00 – 20:00

ปรึกษาฟรี ทักไลน์ไอดี

ฟิลเลอร์ (Filler) คืออะไร ? ฉีดตรงไหนได้บ้าง คำแนะนำจากแพทย์ผู้สอนฉีดฟิลเลอร์

beauty women by filler
beauty women by filler

ฟิลเลอร์ (Filler) คืออะไร ? ฉีดตรงไหนได้บ้าง คำแนะนำจากแพทย์ผู้สอนฉีดฟิลเลอร์

การฉีดฟิลเลอร์เป็นหัตถการอันดับต้น ๆ ที่คนไทยเลือกใช้ เพราะสามารถแก้ปัญหาร่องลึก ริ้วรอยต่าง ๆ รวมไปถึงฟื้นฟูสภาพผิวได้ด้วยการฉีดกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) เข้าไปในชั้นผิว ทำให้ผิวดูดซึมน้ำได้ดีขึ้น ผิวจึงกลับมาเต่งตึงอิ่มฟูราวกับได้ย้อนอายุผิวอีกครั้ง นอกจากนี้ฟิลเลอร์ยังมีคุณสมบัติช่วยให้รูปหน้าเราเปลี่ยนแปลง จึงนิยมนำมาปรับรูปหน้า หรือกรอบหน้าแบบไม่ถาวรด้วย

เช่นกัน แต่การฉีดฟิลเลอร์จำเป็นต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด และได้ผลลัพธ์ที่ตรงกับความต้องการของเรามากที่สุด

ฟิลเลอร์ (Filler) คืออะไร ?

ฟิลเลอร์ (Filler) คือ การฉีดกรดไฮยาลูรอนิก ซึ่งเป็นสารเติมเต็มประเภทหนึ่งเข้าไประหว่างผิวชั้นตื้น ซึ่งไฮยาลูรอนิกนี้จะเข้าไปกักเก็บความชุ่มชื้นร่วมกับเซลล์ผิวเดิมของเราที่เสื่อมสภาพไปตามอายุขัย ทำให้ผิวของเรากลับมาเต่งตึง ยกกระชับ และดูอิ่มฟู ทั้งยังช่วยลดขนาดรูขุมขนบนใบหน้าลงไปด้วย นอกจากลดริ้วรอยต่าง ๆ แล้ว ฟิลเลอร์ยังสามารถเข้าไปเติมเต็มคอลลาเจนที่ชั้นผิวของเราสูญเสียไป หลังจากฉีดเราจะสังเกตได้เลยว่าใบหน้าของเรามีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้เอง การฉีดฟิลเลอร์จึงไม่ได้มีดีแค่การลดเลือนริ้วรอย แต่ยังสามารถช่วยยกกระชับ เพิ่มมิติบนใบหน้า เป็น ‘การฉีดฟิลเลอร์ปรับรูปหน้า’ ของเราอย่างปลอดภัยได้อีกด้วย

ฟิลเลอร์ดียังไง ทำไมจึงเป็นที่นิยม

  • เป็นการดูแลสุขภาพผิว ช่วยให้ผิวกลับมาแข็งแรงชุ่มชื้น ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ 
  • ราคาไม่แพง ใคร ๆ ก็เข้าถึงได้ เห็นผลยาวนานสูงสุดถึง 2 ปี 
  • มีความปลอดภัยสูง แต่ควรฉีดกับคลินิกที่ได้รับใบรับรองเท่านั้น 
  • ปรับรูปหน้าได้อย่างใจ โดยไม่ต้องพึ่งมีดหมอ 

ประเภทของฟิลเลอร์มีอะไรบ้าง ?

ในหลายปีที่ผ่านมา มีการคิดค้นฟิลเลอร์ใหม่เกิดขึ้นมากมาย เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ด้วยฟิลเลอร์แต่ละชนิดมีจุดเด่นจุดด้อย เหมาะสำหรับการฉีดบริเวณต่าง ๆ ไม่เหมือนกัน แต่โดยรวมแล้วเราสามารถแบ่งฟิลเลอร์ออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้

ฟิลเลอร์ชั่วคราว (Temporary Filler)

ฟิลเลอร์ชั่วคราว เป็นฟิลเลอร์ประเภทเดียวที่ได้รับ อย. จากประเทศไทย สามารถสลายตัวได้เอง 100% โดยไม่ทิ้งสารตกค้างใต้ชั้นผิว ไม่ก่อให้เกิดอันตราย ไม่เกิดหลุมสิว หรืออาการหย่อนคล้อยย้อนหลัง เพราะฟิลเลอร์ชนิดนี้เป็นสารในกลุ่ม Hyaluronic Acid หรือ กรดไฮยาลูรอนิก ที่ร่างกายสามารถสร้างได้เองตามธรรมชาติเพื่อให้กักเก็บน้ำในผิว จึงมีความปลอดภัยสูง แบ่งเนื้อสัมผัสออกเป็น 3 รูปแบบ คือ

ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง

เป็นฟิลเลอร์ที่มีความหนาแน่นสูง สามารถปั้น และขึ้นรูปได้ดี เหมาะสำหรับการปรับรูปหน้าให้มีมิติมากขึ้น ใช้เวลานานที่สุดกว่าจะสลายตัวไป โดยจะใช้เวลาประมาณ 18 – 24 เดือน โดยปกติฟิลเลอร์ชนิดนี้นิยมนำไปฉีดเพื่อยกกระชับในจุดที่มีการขยับ หรือเคลื่อนไหวน้อยอย่าง แก้ม คาง ขมับ จมูก และกรอบหน้า

ฟิลเลอร์เนื้อกลาง

ฟิลเลอร์เนื้อกลาง มีความสมดุลกันทั้งความหนาแน่น และความยืดหยุ่น ไม่เหลวแบบเนื้อละเอียด ยังสามารถปั้นขึ้นรูปได้ทรงสวยอยู่ เหมาะสำหรับการนำไปฉีดบริเวณที่มีการเคลื่อนไหวบ่อย เช่น ร่องแก้ม และหน้าผาก โดยทั่วไปแล้วฟิลเลอร์เนื้อกลางจะอยู่ได้นานประมาณ 12-18 เดือน

ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด

หรือที่เรียกกันว่า ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม มีอนุภาคเล็กที่สุด ทำให้เนื้อสัมผัสละเอียด ค่อนข้างเหลวจึงกระจายตัวได้ดี เหมาะสำหรับเติมร่องริ้วรอยตื้นตามจุดต่าง ๆ เช่น ใต้ตา หรือเติมริมฝีปากให้เรียบเนียนเต็มอิ่ม ผลลัพธ์ที่ได้จะดูเป็นธรรมชาติกว่าฟิลเลอร์เนื้ออื่น ๆ โดยทั่วไปแล้วฟิลเลอร์เนื้อละเอียดจะอยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน

ฟิลเลอร์ถาวร (Permanent Filler)

เป็นฟิลเลอร์กลุ่มที่อันตรายที่สุด เพราะใช้ส่วนผสมที่ไม่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ ทำให้ร่างกายมองว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมจนต้องหาวิธีกำจัดออก หลังจากฉีดเราจึงมีอาการแพ้ บวมแดง อักเสบ จนลุกลามกลายเป็นพังผืด หรือมีผลข้างเคียงร้ายแรงตามมามากมาย อาทิ หลอดเลือดอุดตัน กล้ามเนื้อตาย หรืออาจเสียชีวิตได้เลยทีเดียว

หากพบโฆษณาที่อวดอ้างสรรพคุณว่าเป็นฟิลเลอร์ที่อยู่ได้นานหลายปี มีราคาถูกเกินกว่าความเป็นจริง ให้พึงระวังไว้ว่าอาจเป็นฟิลเลอร์ถาวร หรืออีกชื่อคือ ฟิลเลอร์ปลอม ก็เป็นได้

รวมยี่ห้อฟิลเลอร์ ที่ผ่าน อย. (อัปเดต 2024)

อย่างที่เรากล่าวไปว่าฟิลเลอร์มีหลากประเภท หลายยี่ห้อ การเลือกฟิลเลอร์อย่างชาญฉลาดจึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราไม่ควรมองข้าม หากเราเลือกฟิลเลอร์จากบริษัทที่น่าเชื่อถือ มีข้อมูลฟิลเลอร์รูปแบบต่าง ๆ ระบุไว้ชัดเจน เราก็สามารถเลือกฟิลเลอร์ที่ปลอดภัย คุ้มค่าคุ้มราคา และตรงกับความต้องการของเรามากที่สุดได้ง่ายขึ้น

สำหรับยี่ห้อฟิลเลอร์ชั่วคราวที่ผ่านการรับรองจาก อย. ประเทศไทย เรารวบรวมฉบับอัพเดท 2024 มาให้แล้วตามรายชื่อด้านล่างนี้

  • ฟิลเลอร์ Juvederm – เป็นแบรนด์ฟิลเลอร์อันดับต้น ๆ ของโลกจากอเมริกา มีจุดเด่น คือ Lidocaine ซึ่งเป็นส่วนผสมที่ช่วยลดความเจ็บปวดในระหว่างการฉีด และหลังการฉีด 
  • ฟิลเลอร์ Restylane – ฟิลเลอร์จากสวีเดน มักเป็นตัวเลือกแรก ๆ ของคนที่อยากฉีดฟิลเลอร์ปาก เพราะมีเนื้อละเอียด แต่มีความคงตัวสูงกว่าแบรนด์อื่น ๆ 
  • ฟิลเลอร์ Definisse  – เป็นฟิลเลอร์จากอิตาลี ตัวฟิลเลอร์มีความบริสุทธิ์สูง ช่วยลดความเสี่ยงในการแพ้ ทำให้บวมน้อยกว่า 
  • ฟิลเลอร์ Belotero – เป็นฟิลเลอร์มาแรงจากสวิตเซอร์แลนด์ มีตัวเลือกหลากหลาย ตัวที่เป็นฟิลเลอร์แข็งจะมีความคงตัวสูง ใช้ฉีดเสริมกระดูกปรับรูปหน้าได้ชัดเจน ส่วนตัวที่เป็นฟิลเลอร์อ่อนอย่าง Belotero Revive ก็มีฤทธิ์ฟื้นฟูผิวที่ยอดเยี่ยม 
  • ฟิลเลอร์ Neuramis – เป็นฟิลเลอร์จากเกาหลีที่ดังเรื่องหัตถการและศัลยกรรมอยู่แล้ว ใช้งานง่าย เหมาะกับงานยกกระชับ และปรับรูปหน้า 
  • ฟิลเลอร์ YVOIRE – ฟิลเลอร์จากเกาหลีอีกตัวหนึ่ง โด่งดังเรื่องฟิลเลอร์เนื้อแข็งที่ยืดหยุ่นได้ดี แต่ให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับธรรมชาติ และสลายตัวช้าที่สุด 
  • ฟิลเลอร์ e.p.t.q. – เป็นอีกหนึ่งฟิลเลอร์ตัวเลือกจากเกาหลี ที่ใช้เติมเต็มริ้วรอย และรอยพับบนใบหน้าได้ดี
  • ฟิลเลอร์ Revanesse – เป็นฟิลเลอร์จากแคนาดาที่มีเพียงรุ่น Revanesse Ultra ที่ผ่าน อย. ไทย เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็งที่มีความหนืดสูง เหมาะกับริ้วรอยระดับลึก
  • ฟิลเลอร์ FLORE – เป็นฟิลเลอร์จากเกาหลี ที่ใช้เทคโนโลยี HCCL (Highly Cross-Linked Cohesive) ในการผลิต ทำให้เนื้อเจลแข็งแรง ยืดหยุ่น และสามารถปรับรูปได้ง่าย ช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาดูเป็นธรรมชาติ ไม่แข็งทื่อ

สำหรับยี่ห้อฟิลเลอร์ชั่วคราวที่ผ่านการรับรองจาก อย. ประเทศไทย เรารวบรวมฉบับอัพเดท 2024 มาให้แล้วตามรายชื่อด้านล่างนี้

ฟิลเลอร์ฉีดตรงไหนได้บ้าง ?

เพราะฟิลเลอร์แต่ละชนิด ถูกออกแบบมาให้ฉีดแต่ละจุดโดยเฉพาะ เราจะมาทำความเข้าใจกันว่าฟิลเลอร์แบบไหน เหมาะกับการฉีดบริเวณใดของร่างกายบ้าง (ทั้งนี้ ปริมาณการฉีดฟิลเลอร์ที่แน่นอนในแต่ละจุด รวมไปถึงยี่ห้อ และรุ่นที่เลือกใช้ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ เพราะแพทย์จะพิจารณาถึงความเหมาะสม และความปลอดภัยของเราเป็นที่ตั้ง)

1. การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

เป็นการฉีดฟิลเลอร์เข้าไปเพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ บริเวณรอบดวงตา เช่น มีร่องลึก ถุงใต้ตาคล้ำ เบ้าตาลึก เพื่อให้ใบหน้าดูอ่อนวัย โดยปริมาณของฟิลเลอร์ที่ใช้จะเริ่มต้นที่ 1-2 ซีซี หลังฉีดแล้วอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน

2. การฉีดฟิลเลอร์ปาก

เป็นการเติมสารเติมเต็มเข้าไปในริมฝีปากเพื่อเพิ่มความอิ่มฟู ปรับรูปทรง และแก้ไขปัญหาปากบาง ปากลีบ ทำให้ริมฝีปากดูสวยงาม อวบอิ่ม และดูอ่อนเยาว์ขึ้น โดยมากจะใช้ฟิลเลอร์เนื้อละเอียดในการฉีด ซึ่งจะอยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน

3. การฉีดฟิลเลอร์คาง

เป็นการเติมสารเติมเต็มเข้าไปในบริเวณคางเพื่อให้ดูเรียว เสริมปลายคาง หรือเติมเต็มคางที่สั้นหรือตัด ทำให้ใบหน้าดูสมส่วนและมีมิติมากขึ้น ฟิลเลอร์ที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็งเพื่อให้ได้ทรงสวย และคงรูปนาน ทำให้ผลลัพธ์อยู่ได้ค่อนข้างนานสูงสุดถึง 2 ปีเลยทีเดียว

4. การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม

เป็นการฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มบริเวณร่องแก้ม คืนใบหน้าสดใสอ่อนเยาว์ เต็มอิ่มกลับมาอีกครั้ง เหมาะกับผู้มีปัญหาร่องแก้มเนื่องจากอายุที่มากขึ้น ฟิลเลอร์ที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียด เริ่มต้นที่ 2 ซีซีขึ้นไป ผลลัพธ์จะคงอยู่ได้ราว ๆ 6 – 12 เดือน

5. การฉีดฟิลเลอร์จมูก

เป็นการฉีดฟิลเลอร์เนื้อกลาง หรือแข็งเข้าไปบริเวณสันจมูก หรือปลายจมูก เพื่อปรับรูปทรงให้ดูโด่ง เรียว หรือสมส่วนมากขึ้น โดยไม่ต้องผ่าตัด โดยปริมาณของฟิลเลอร์ที่ใช้จะเริ่มต้นที่ 1 ซีซี หลังฉีดเราจะเห็นผลลัพธ์ทันที และคงอยู่ได้นานประมาณ 12-24 เดือน

6. การฉีดฟิลเลอร์ขมับ

การฉีดฟิลเลอร์ขมับช่วยแก้ไขปัญหาขมับตอบ ขมับลึก ทำให้ใบหน้าดูอิ่มฟู เรียว หรือกลมขึ้น ใบหน้ากลับมาดูมีน้ำมีนวลและอ่อนเยาว์ หลังฉีดอยู่ได้นานประมาณ 12-18 เดือน

7. การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก

เป็นการฉีดฟิลเลอร์เพื่อให้หน้าผากดูสมส่วน แก้ปัญหาหน้าผากไม่เรียบ หน้าผากยุบ รวมไปถึงริ้วรอยแห่งวัยบนหน้าผาก หลังฉีดจะอยู่ได้นานประมาณ 12-24 เดือน

การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์

  • ปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินปัญหา – แพทย์จะทำการประเมินสภาพผิวและปัญหาที่ต้องการแก้ไข
  • เลือกชนิดของฟิลเลอร์ – แพทย์จะแนะนำชนิดของฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล และบริเวณที่ต้องการฉีด โดยจะมีราคาและคุณภาพแตกต่างไป จากนั้นจะเป็นการนัดวัน และเวลาในการฉีด
  • เตรียมผิว – ทำความสะอาดผิว และทายาชา 
  • ฉีดฟิลเลอร์ – ก่อนการฉีด แพทย์จะนำฟิลเลอร์ที่จะใช้มาแกะกล่องให้เราดูต่อหน้า เพื่อให้ตรวจสอบความถูกต้องของฟิลเลอร์ จากนั้นแพทย์จะใช้เข็มฉีดฟิลเลอร์เข้าไปในบริเวณที่ต้องการ โดยเทคนิคการฉีดจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับบริเวณและปัญหาที่ต้องการแก้ไข 
  • ประคบเย็น – หลังการฉีด แพทย์จะประคบเย็นเพื่อลดอาการบวม และอักเสบ
  • ดูแลหลังการฉีด – หลังฉีดฟิลเลอร์แล้ว ผู้เข้ารับบริการต้องดูแลตัวเอ งตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด

ขั้นตอนในการฉีดฟิลเลอร์

  • แจ้งประวัติสุขภาพ ยาที่แพ้ และโรคประจำตัว ให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด เพื่อให้แพทย์วางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม 
  • งดยาแอสไพริน ยากลุ่มต้านการอักเสบ วิตามินอี น้ำมันปลา หรืออาหารเสริมที่ทำให้เลือดแข็งตัวช้า เป็นเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนการฉีด เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดรอยช้ำ 
  • งดสกินแคร์ผลัดเซลล์ผิว หรือการสครับหน้าอย่างน้อย 1 สัปดาห์ เพื่อเตรียมผิว
  • งดสูบบุหรี่ก่อนและหลังการฉีดอย่างน้อย 24 ชั่วโมง เพื่อช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น 
  • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนการฉีด เพื่อลดอาการบวม 
  • งดการออกกำลังกายหนักก่อนและหลังการฉีด 24 ชั่วโมง เพื่อลดอุณหภูมิของร่างกาย และลดการไหลเวียนของเลือด 
  • งดซาวน่า อบไอน้ำ ก่อนและหลังการฉีด 24 ชั่วโมง 
  • หากมีคอร์สหัตถการเกี่ยวกับใบหน้า ให้ทำก่อนฉีดฟิลเลอร์อย่างน้อย 72 ชั่วโมง

การดูแลตัวเองหลังเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์

  • หลังฉีดฟิลเลอร์สามารถขยับใบหน้าได้ตามปกติ แต่หลีกเลี่ยงการกดแรง ๆ บริเวณที่ฉีด 
  • นอนหงาย นอนตะแคงได้ตามปกติ แต่ระวังการกดทับในช่วง 2 สัปดาห์แรก 
  • ออกกำลังกายเบา ๆ ได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก อย่างน้อย 1 สัปดาห์ 
  • งดดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อลดอาการบวม และช้ำ อย่างน้อย 72 ชั่วโมง 
  • ประคบเย็น อย่างน้อย 24 ชั่วโมง 
  • หลีกเลี่ยงการนวด และสัมผัสจุดที่ฉีดอย่างน้อย 24 ชั่วโมง 
  • งดทาครีมบริเวณที่ฉีด อย่างน้อย 24 ชั่วโมง 
  • ทาครีมกันแดดป้องกันรังสี UV อย่างต่อเนื่อง 
  • รับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง 
  • พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ 
  • หากมีอาการผิดปกติควรปรึกษาแพทย์ทันที

อาการหรือผลข้างเคียงหลังเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์

หลังจากฉีดฟิลเลอร์ เราอาจพบอาการ หรือผลข้างเคียงเหล่านี้ได้เล็กน้อย ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่มักจะหายไปเองหลังจากผ่านไประยะเวลาหนึ่ง แต่ถ้าอาการไม่ทุเลาลง หรือมีอาการหนักขึ้น แนะนำว่าควรไปพบแพทย์ทันที

  • บวม: เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุด และมักจะหายไปภายใน 2-3 วัน 
  • แดง: บริเวณที่ฉีดอาจมีรอยแดง ซึ่งจะหายไปเองภายใน 1-2 วัน 
  • ช้ำ: อาจเกิดรอยช้ำเล็กน้อย ซึ่งจะหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์ 
  • คัน: อาจรู้สึกคันบริเวณที่ฉีด ซึ่งเป็นอาการที่พบได้น้อย
  • ปวด: อาจรู้สึกเจ็บหรือปวดเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด

ฉีดฟิลเลอร์ราคาเท่าไหร่ ?

เนื่องจากราคาของการฉีดฟิลเลอร์ มีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับยี่ห้อที่เลือกใช้ รุ่นที่เราต้องการ บริเวณที่เราอยากฉีด รวมไปถึงสถาบันที่เราไปรับบริการ แต่เราสามารถทราบราคาคร่าว ๆ ของการฉีดฟิลเลอร์แต่ละจุดบนใบหน้าได้ตามรายละเอียดต่อไปนี้

  • ฟิลเลอร์หน้าผาก ราคาเริ่มต้นประมาณ 14,000 บาท
  • ฟิลเลอร์ขมับ ราคาเริ่มต้นประมาณ 11,000 บาท
  • ฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาเริ่มต้นประมาณ 8,000 บาท
  • ฟิลเลอร์ร่องแก้ม ราคาเริ่มต้นประมาณ 9,900 บาท
  • ฟิลเลอร์ปาก ราคาเริ่มต้นประมาณ 13,000 บาท
  • ฟิลเลอร์คาง ราคาเริ่มต้นประมาณ 9,900 บาท

คำถามเกี่ยวกับ Filler ที่พบบ่อย

ต้องรอให้ฟิลเลอร์เดิมสลายหมดก่อนไหม ถึงจะฉีดเพิ่มได้ ?

ไม่เสมอไป เพราะการฉีดฟิลเลอร์สามารถเติมได้เรื่อย ๆ ตามความต้องการ และความเหมาะสม แต่เราแนะนำว่าควรอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์ทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยของตัวเราเอง

หลังฟิลเลอร์สลายหมดแล้ว เปลี่ยนยี่ห้อที่ฉีดได้ไหม ?

ได้ เราไม่จำเป็นต้องใช้ฟิลเลอร์ยี่ห้อเดิมเสมอไป เพราะฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่น มีจุดเด่นแตกต่างกันไป หากเราไม่มั่นใจว่าควรเลือกยี่ห้อไหน สามารถขอคำแนะนำจากแพทย์ได้โดยตรง

ถ้าฟิลเลอร์สลายหมด จะทำให้หน้าแก่กว่าเดิมไหม ?

ไม่จริง กลับกันเลยต่างหาก บริเวณที่เราเคยฉีดฟิลเลอร์ไว้ จะมีสุขภาพดีขึ้นกว่าเดิม เพราะการฉีดฟิลเลอร์เป็นการเติมความชุ่มชื้นให้กับผิว ส่งผลให้ร่างกายสร้างคอลลาเจน และอิลาสตินในชั้นผิวเพิ่มขึ้น แม้ฟิลเลอร์จะสลายไป แต่คอลลาเจน กับอิลาสตินจะยังทำงานอยู่ในร่างกายเหมือนเดิม

หลังฉีดฟิลเลอร์ห้ามโดนความร้อนจริงไหม

ไม่จริง เพราะกรดไฮยาลูรอนิกไม่ได้ถูกทำลาย หรือสูญสลายได้ด้วยความร้อน การห้ามไม่ให้ใบหน้า หรือบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์โดนความร้อน ถือเป็นการยืดอายุของฟิลเลอร์ให้อยู่นานขึ้นทางหนึ่ง การโดนความร้อนเล็กน้อยในชีวิตประจำวันถือว่าทำได้

สาขา จามจุรีสแควร์

ชั้น 3 ตึกจามจุรีสแควร์ ข้างร้านกาแฟมวลชน
(ลง MRT สามย่าน , จอดรถในตึกฟรี 2 ชม.)

Phone

สาขา อ่อนนุช

ใต้คอนโดไอดิโอ โมบิ สุขุมวิท ตึกบี ติดร้านทำผม
(ลง BTS อ่อนนุช ทางออก 3, จอดรถหน้าร้าน)

Phone

Open everyday

11:00 – 20:00

ปรึกษาฟรี ทักไลน์ไอดี