เทรนด์ผิวสุขภาพดีในปัจจุบัน ไม่ใช่แค่การแต่งหน้าให้ปัง แต่ยังรวมถึงการดูแลแบบล้ำลึก กู้ผิวใสให้กลับคืนมา รวมถึงดูแลสภาพผิวให้แข็งแรง Radiesse จึงเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมความงามที่ช่วยให้ผิวมีคุณภาพที่ดีจากภายในได้อย่างดี ตอบโจทย์เทรนด์งานผิวปั๊วะปังที่ทุกคนใฝ่ฝันนั่นคือ ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ แต่ผิวหน้ายังคงสภาพผิวให้กลับมาดูอ่อนเยาว์อีกครั้ง
สำหรับใครที่ยังไม่รู้จักว่า Radiesse ช่วยบำรุงผิวหน้าในเรื่องอะไรบ้าง หรือไม่มั่นใจว่าตนเองเหมาะกับผลิตภัณฑ์ตัวนี้หรือเปล่า เราจะพาไปทำความรู้จักกับ Radiesse แบบเจาะลึก ใครที่กำลังสนใจ บอกเลยห้ามพลาด!
Radiesse (เรเดียสซ์) ถือว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ของการฉีดกระตุ้นผิวที่กำลังได้รับความนิยมในตอนนี้ เพราะมีความพิเศษกว่าการฉีดฟิลเลอร์ทั่วไปตรงที่ไม่ได้มีตัว ไฮยาลูรอน เป็นส่วนประกอบหลัก แต่ใช้ CaHA (Calcium Hydroxylapatite microsphere) เป็นส่วนประกอบสำคัญแทน ซึ่งเป็นสารที่คิดค้น และวิจัยโดย Merz Aesthetics ได้รับความไว้วางใจในหลายประเทศทั่วโลกมาตั้งแต่ปี 2006 มียอดการใช้กว่า 15 ล้านไซริงค์ จาก 85 แห่งทั่วโลก
จุดเด่นหลัก ๆ ของ Radiesse คือ ช่วยกระตุ้นการสร้างใหม่ของคอลลาเจน ฟื้นฟู เติมเต็มร่องลึก และลดเลือนริ้วรอยได้ในการฉีดครั้งเดียว พร้อมกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิว โดยผลลัพธ์อยู่ได้นานถึง 2 ปี เรียกง่าย ๆ ว่าเป็นฟิลเลอร์ขั้นสูงที่ใช้เติมเต็มร่องลึก และ ริ้วรอยบนใบหน้า ช่วยให้ผิวกลับมาอ่อนเยาว์อีกครั้งนั่นเอง
ราคามาตรฐานของ Radiesse จะอยู่ที่ประมาณ 36,000 บาท ในปริมาณ 1.5 ซีซี ต่อหลอด ขณะที่ฟิลเลอร์ทั่วไปจะได้เพียง 1 ซีซี เท่านั้น ซึ่งถือว่าคุ้มค่า และราคาเข้าถึงได้ สามารถฉีดได้หลายจุดหลายตำแหน่ง ส่วนปริมาณที่ใช้ส่วนใหญ่จะใช้เพียง 1 หลอดต่อ 1 ตำแหน่ง
Radiesse สามารถฉีดได้หลายตำแหน่ง เช่น ใบหน้า ร่องแก้ม ร่องนํ้าหมาก เป็นต้น โดยปริมาณที่ใช้ในแต่ละบริเวณอาจไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของตัวบุคคล เป้าหมายในการแก้ไข ความหนาแน่นของผิวหนัง และบริเวณที่จะฉีด ดังนั้นการใช้ Radiesse ปริมาณที่แน่นอน จะต้องได้รับการประเมินโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนทุกครั้ง ซึ่งหลัก ๆ การฉีด Radiesse สามารถทำได้หลายตำแหน่ง ดังนี้
ทั้งนี้ การฉีด Radiesse เติมคอลลาเจนให้ผิวหน้า ไม่ควรฉีดในจุดที่ต้องอาศัยความละเอียดอ่อน ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทุกครั้ง รวมถึงควรเลือกใช้บริการที่คลินิกความงาม ที่มีความน่าเชื่อถือ
Radiesse กับ Sculptra ถือเป็นงานผิวพรีเมียมทั้งคู่ อยากรู้ข้อแตกต่างต้องเทียบกันหมัดต่อหมัด เพราะจริง ๆ ขึ้นอยู่กับปัญหาที่เราต้องการจะแก้ไขว่ามีเป้าหมายอย่างไร อยากแก้ปัญหาที่จุดไหน ซึ่งเราเปรียบเทียบความแตกต่างของหัตถการทั้ง 2 อย่างมาให้ตามรายละเอียดด้านล่างนี้