ฟิลเลอร์ (Filler) คืออะไร ? ฉีดตรงไหนได้บ้าง คำแนะนำจากแพทย์ผู้สอนฉีดฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์ (Filler) คืออะไร ? ฉีดตรงไหนได้บ้าง คำแนะนำจากแพทย์ผู้สอนฉีดฟิลเลอร์

การฉีดฟิลเลอร์เป็นหัตถการอันดับต้น ๆ ที่คนไทยเลือกใช้ เพราะสามารถแก้ปัญหาร่องลึก ริ้วรอยต่าง ๆ รวมไปถึงฟื้นฟูสภาพผิวได้ด้วยการฉีดกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) เข้าไปในชั้นผิว ทำให้ผิวดูดซึมน้ำได้ดีขึ้น ผิวจึงกลับมาเต่งตึงอิ่มฟูราวกับได้ย้อนอายุผิวอีกครั้ง นอกจากนี้ฟิลเลอร์ยังมีคุณสมบัติช่วยให้รูปหน้าเราเปลี่ยนแปลง จึงนิยมนำมาปรับรูปหน้า หรือกรอบหน้าแบบไม่ถาวรด้วย

เช่นกัน แต่การฉีดฟิลเลอร์จำเป็นต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด และได้ผลลัพธ์ที่ตรงกับความต้องการของเรามากที่สุด

ฟิลเลอร์ (Filler) คืออะไร ?

ฟิลเลอร์ (Filler) คือ การฉีดกรดไฮยาลูรอนิก ซึ่งเป็นสารเติมเต็มประเภทหนึ่งเข้าไประหว่างผิวชั้นตื้น ซึ่งไฮยาลูรอนิกนี้จะเข้าไปกักเก็บความชุ่มชื้นร่วมกับเซลล์ผิวเดิมของเราที่เสื่อมสภาพไปตามอายุขัย ทำให้ผิวของเรากลับมาเต่งตึง ยกกระชับ และดูอิ่มฟู ทั้งยังช่วยลดขนาดรูขุมขนบนใบหน้าลงไปด้วย นอกจากลดริ้วรอยต่าง ๆ แล้ว ฟิลเลอร์ยังสามารถเข้าไปเติมเต็มคอลลาเจนที่ชั้นผิวของเราสูญเสียไป หลังจากฉีดเราจะสังเกตได้เลยว่าใบหน้าของเรามีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้เอง การฉีดฟิลเลอร์จึงไม่ได้มีดีแค่การลดเลือนริ้วรอย แต่ยังสามารถช่วยยกกระชับ เพิ่มมิติบนใบหน้า เป็น ‘การฉีดฟิลเลอร์ปรับรูปหน้า’ ของเราอย่างปลอดภัยได้อีกด้วย

ฟิลเลอร์ดียังไง ทำไมจึงเป็นที่นิยม

  • เป็นการดูแลสุขภาพผิว ช่วยให้ผิวกลับมาแข็งแรงชุ่มชื้น ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ 
  • ราคาไม่แพง ใคร ๆ ก็เข้าถึงได้ เห็นผลยาวนานสูงสุดถึง 2 ปี 
  • มีความปลอดภัยสูง แต่ควรฉีดกับคลินิกที่ได้รับใบรับรองเท่านั้น 
  • ปรับรูปหน้าได้อย่างใจ โดยไม่ต้องพึ่งมีดหมอ 

ประเภทของฟิลเลอร์มีอะไรบ้าง ?

ในหลายปีที่ผ่านมา มีการคิดค้นฟิลเลอร์ใหม่เกิดขึ้นมากมาย เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ด้วยฟิลเลอร์แต่ละชนิดมีจุดเด่นจุดด้อย เหมาะสำหรับการฉีดบริเวณต่าง ๆ ไม่เหมือนกัน แต่โดยรวมแล้วเราสามารถแบ่งฟิลเลอร์ออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้

ฟิลเลอร์ชั่วคราว (Temporary Filler)

ฟิลเลอร์ชั่วคราว เป็นฟิลเลอร์ประเภทเดียวที่ได้รับ อย. จากประเทศไทย สามารถสลายตัวได้เอง 100% โดยไม่ทิ้งสารตกค้างใต้ชั้นผิว ไม่ก่อให้เกิดอันตราย ไม่เกิดหลุมสิว หรืออาการหย่อนคล้อยย้อนหลัง เพราะฟิลเลอร์ชนิดนี้เป็นสารในกลุ่ม Hyaluronic Acid หรือ กรดไฮยาลูรอนิก ที่ร่างกายสามารถสร้างได้เองตามธรรมชาติเพื่อให้กักเก็บน้ำในผิว จึงมีความปลอดภัยสูง แบ่งเนื้อสัมผัสออกเป็น 3 รูปแบบ คือ

ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง

เป็นฟิลเลอร์ที่มีความหนาแน่นสูง สามารถปั้น และขึ้นรูปได้ดี เหมาะสำหรับการปรับรูปหน้าให้มีมิติมากขึ้น ใช้เวลานานที่สุดกว่าจะสลายตัวไป โดยจะใช้เวลาประมาณ 18 – 24 เดือน โดยปกติฟิลเลอร์ชนิดนี้นิยมนำไปฉีดเพื่อยกกระชับในจุดที่มีการขยับ หรือเคลื่อนไหวน้อยอย่าง แก้ม คาง ขมับ จมูก และกรอบหน้า

ฟิลเลอร์เนื้อกลาง

ฟิลเลอร์เนื้อกลาง มีความสมดุลกันทั้งความหนาแน่น และความยืดหยุ่น ไม่เหลวแบบเนื้อละเอียด ยังสามารถปั้นขึ้นรูปได้ทรงสวยอยู่ เหมาะสำหรับการนำไปฉีดบริเวณที่มีการเคลื่อนไหวบ่อย เช่น ร่องแก้ม และหน้าผาก โดยทั่วไปแล้วฟิลเลอร์เนื้อกลางจะอยู่ได้นานประมาณ 12-18 เดือน

ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด

หรือที่เรียกกันว่า ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม มีอนุภาคเล็กที่สุด ทำให้เนื้อสัมผัสละเอียด ค่อนข้างเหลวจึงกระจายตัวได้ดี เหมาะสำหรับเติมร่องริ้วรอยตื้นตามจุดต่าง ๆ เช่น ใต้ตา หรือเติมริมฝีปากให้เรียบเนียนเต็มอิ่ม ผลลัพธ์ที่ได้จะดูเป็นธรรมชาติกว่าฟิลเลอร์เนื้ออื่น ๆ โดยทั่วไปแล้วฟิลเลอร์เนื้อละเอียดจะอยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน

ฟิลเลอร์ถาวร (Permanent Filler)

เป็นฟิลเลอร์กลุ่มที่อันตรายที่สุด เพราะใช้ส่วนผสมที่ไม่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ ทำให้ร่างกายมองว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมจนต้องหาวิธีกำจัดออก หลังจากฉีดเราจึงมีอาการแพ้ บวมแดง อักเสบ จนลุกลามกลายเป็นพังผืด หรือมีผลข้างเคียงร้ายแรงตามมามากมาย อาทิ หลอดเลือดอุดตัน กล้ามเนื้อตาย หรืออาจเสียชีวิตได้เลยทีเดียว

หากพบโฆษณาที่อวดอ้างสรรพคุณว่าเป็นฟิลเลอร์ที่อยู่ได้นานหลายปี มีราคาถูกเกินกว่าความเป็นจริง ให้พึงระวังไว้ว่าอาจเป็นฟิลเลอร์ถาวร หรืออีกชื่อคือ ฟิลเลอร์ปลอม ก็เป็นได้

รวมยี่ห้อฟิลเลอร์ ที่ผ่าน อย. (อัปเดต 2024)

อย่างที่เรากล่าวไปว่าฟิลเลอร์มีหลากประเภท หลายยี่ห้อ การเลือกฟิลเลอร์อย่างชาญฉลาดจึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราไม่ควรมองข้าม หากเราเลือกฟิลเลอร์จากบริษัทที่น่าเชื่อถือ มีข้อมูลฟิลเลอร์รูปแบบต่าง ๆ ระบุไว้ชัดเจน เราก็สามารถเลือกฟิลเลอร์ที่ปลอดภัย คุ้มค่าคุ้มราคา และตรงกับความต้องการของเรามากที่สุดได้ง่ายขึ้น

สำหรับยี่ห้อฟิลเลอร์ชั่วคราวที่ผ่านการรับรองจาก อย. ประเทศไทย เรารวบรวมฉบับอัพเดท 2024 มาให้แล้วตามรายชื่อด้านล่างนี้

  • ฟิลเลอร์ Juvederm – เป็นแบรนด์ฟิลเลอร์อันดับต้น ๆ ของโลกจากอเมริกา มีจุดเด่น คือ Lidocaine ซึ่งเป็นส่วนผสมที่ช่วยลดความเจ็บปวดในระหว่างการฉีด และหลังการฉีด 
  • ฟิลเลอร์ Restylane – ฟิลเลอร์จากสวีเดน มักเป็นตัวเลือกแรก ๆ ของคนที่อยากฉีดฟิลเลอร์ปาก เพราะมีเนื้อละเอียด แต่มีความคงตัวสูงกว่าแบรนด์อื่น ๆ 
  • ฟิลเลอร์ Definisse  – เป็นฟิลเลอร์จากอิตาลี ตัวฟิลเลอร์มีความบริสุทธิ์สูง ช่วยลดความเสี่ยงในการแพ้ ทำให้บวมน้อยกว่า 
  • ฟิลเลอร์ Belotero – เป็นฟิลเลอร์มาแรงจากสวิตเซอร์แลนด์ มีตัวเลือกหลากหลาย ตัวที่เป็นฟิลเลอร์แข็งจะมีความคงตัวสูง ใช้ฉีดเสริมกระดูกปรับรูปหน้าได้ชัดเจน ส่วนตัวที่เป็นฟิลเลอร์อ่อนอย่าง Belotero Revive ก็มีฤทธิ์ฟื้นฟูผิวที่ยอดเยี่ยม 
  • ฟิลเลอร์ Neuramis – เป็นฟิลเลอร์จากเกาหลีที่ดังเรื่องหัตถการและศัลยกรรมอยู่แล้ว ใช้งานง่าย เหมาะกับงานยกกระชับ และปรับรูปหน้า 
  • ฟิลเลอร์ YVOIRE – ฟิลเลอร์จากเกาหลีอีกตัวหนึ่ง โด่งดังเรื่องฟิลเลอร์เนื้อแข็งที่ยืดหยุ่นได้ดี แต่ให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับธรรมชาติ และสลายตัวช้าที่สุด 
  • ฟิลเลอร์ e.p.t.q. – เป็นอีกหนึ่งฟิลเลอร์ตัวเลือกจากเกาหลี ที่ใช้เติมเต็มริ้วรอย และรอยพับบนใบหน้าได้ดี
  • ฟิลเลอร์ Revanesse – เป็นฟิลเลอร์จากแคนาดาที่มีเพียงรุ่น Revanesse Ultra ที่ผ่าน อย. ไทย เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็งที่มีความหนืดสูง เหมาะกับริ้วรอยระดับลึก
  • ฟิลเลอร์ FLORE – เป็นฟิลเลอร์จากเกาหลี ที่ใช้เทคโนโลยี HCCL (Highly Cross-Linked Cohesive) ในการผลิต ทำให้เนื้อเจลแข็งแรง ยืดหยุ่น และสามารถปรับรูปได้ง่าย ช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาดูเป็นธรรมชาติ ไม่แข็งทื่อ

สำหรับยี่ห้อฟิลเลอร์ชั่วคราวที่ผ่านการรับรองจาก อย. ประเทศไทย เรารวบรวมฉบับอัพเดท 2024 มาให้แล้วตามรายชื่อด้านล่างนี้

ฟิลเลอร์ฉีดตรงไหนได้บ้าง ?

เพราะฟิลเลอร์แต่ละชนิด ถูกออกแบบมาให้ฉีดแต่ละจุดโดยเฉพาะ เราจะมาทำความเข้าใจกันว่าฟิลเลอร์แบบไหน เหมาะกับการฉีดบริเวณใดของร่างกายบ้าง (ทั้งนี้ ปริมาณการฉีดฟิลเลอร์ที่แน่นอนในแต่ละจุด รวมไปถึงยี่ห้อ และรุ่นที่เลือกใช้ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ เพราะแพทย์จะพิจารณาถึงความเหมาะสม และความปลอดภัยของเราเป็นที่ตั้ง)

1. การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

เป็นการฉีดฟิลเลอร์เข้าไปเพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ บริเวณรอบดวงตา เช่น มีร่องลึก ถุงใต้ตาคล้ำ เบ้าตาลึก เพื่อให้ใบหน้าดูอ่อนวัย โดยปริมาณของฟิลเลอร์ที่ใช้จะเริ่มต้นที่ 1-2 ซีซี หลังฉีดแล้วอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน

2. การฉีดฟิลเลอร์ปาก

เป็นการเติมสารเติมเต็มเข้าไปในริมฝีปากเพื่อเพิ่มความอิ่มฟู ปรับรูปทรง และแก้ไขปัญหาปากบาง ปากลีบ ทำให้ริมฝีปากดูสวยงาม อวบอิ่ม และดูอ่อนเยาว์ขึ้น โดยมากจะใช้ฟิลเลอร์เนื้อละเอียดในการฉีด ซึ่งจะอยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน

3. การฉีดฟิลเลอร์คาง

เป็นการเติมสารเติมเต็มเข้าไปในบริเวณคางเพื่อให้ดูเรียว เสริมปลายคาง หรือเติมเต็มคางที่สั้นหรือตัด ทำให้ใบหน้าดูสมส่วนและมีมิติมากขึ้น ฟิลเลอร์ที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็งเพื่อให้ได้ทรงสวย และคงรูปนาน ทำให้ผลลัพธ์อยู่ได้ค่อนข้างนานสูงสุดถึง 2 ปีเลยทีเดียว

4. การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม

เป็นการฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มบริเวณร่องแก้ม คืนใบหน้าสดใสอ่อนเยาว์ เต็มอิ่มกลับมาอีกครั้ง เหมาะกับผู้มีปัญหาร่องแก้มเนื่องจากอายุที่มากขึ้น ฟิลเลอร์ที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียด เริ่มต้นที่ 2 ซีซีขึ้นไป ผลลัพธ์จะคงอยู่ได้ราว ๆ 6 – 12 เดือน

5. การฉีดฟิลเลอร์จมูก

เป็นการฉีดฟิลเลอร์เนื้อกลาง หรือแข็งเข้าไปบริเวณสันจมูก หรือปลายจมูก เพื่อปรับรูปทรงให้ดูโด่ง เรียว หรือสมส่วนมากขึ้น โดยไม่ต้องผ่าตัด โดยปริมาณของฟิลเลอร์ที่ใช้จะเริ่มต้นที่ 1 ซีซี หลังฉีดเราจะเห็นผลลัพธ์ทันที และคงอยู่ได้นานประมาณ 12-24 เดือน

6. การฉีดฟิลเลอร์ขมับ

การฉีดฟิลเลอร์ขมับช่วยแก้ไขปัญหาขมับตอบ ขมับลึก ทำให้ใบหน้าดูอิ่มฟู เรียว หรือกลมขึ้น ใบหน้ากลับมาดูมีน้ำมีนวลและอ่อนเยาว์ หลังฉีดอยู่ได้นานประมาณ 12-18 เดือน

7. การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก

เป็นการฉีดฟิลเลอร์เพื่อให้หน้าผากดูสมส่วน แก้ปัญหาหน้าผากไม่เรียบ หน้าผากยุบ รวมไปถึงริ้วรอยแห่งวัยบนหน้าผาก หลังฉีดจะอยู่ได้นานประมาณ 12-24 เดือน

การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์

  • ปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินปัญหา – แพทย์จะทำการประเมินสภาพผิวและปัญหาที่ต้องการแก้ไข
  • เลือกชนิดของฟิลเลอร์ – แพทย์จะแนะนำชนิดของฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล และบริเวณที่ต้องการฉีด โดยจะมีราคาและคุณภาพแตกต่างไป จากนั้นจะเป็นการนัดวัน และเวลาในการฉีด
  • เตรียมผิว – ทำความสะอาดผิว และทายาชา 
  • ฉีดฟิลเลอร์ – ก่อนการฉีด แพทย์จะนำฟิลเลอร์ที่จะใช้มาแกะกล่องให้เราดูต่อหน้า เพื่อให้ตรวจสอบความถูกต้องของฟิลเลอร์ จากนั้นแพทย์จะใช้เข็มฉีดฟิลเลอร์เข้าไปในบริเวณที่ต้องการ โดยเทคนิคการฉีดจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับบริเวณและปัญหาที่ต้องการแก้ไข 
  • ประคบเย็น – หลังการฉีด แพทย์จะประคบเย็นเพื่อลดอาการบวม และอักเสบ
  • ดูแลหลังการฉีด – หลังฉีดฟิลเลอร์แล้ว ผู้เข้ารับบริการต้องดูแลตัวเอ งตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด

ขั้นตอนในการฉีดฟิลเลอร์

  • แจ้งประวัติสุขภาพ ยาที่แพ้ และโรคประจำตัว ให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด เพื่อให้แพทย์วางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม 
  • งดยาแอสไพริน ยากลุ่มต้านการอักเสบ วิตามินอี น้ำมันปลา หรืออาหารเสริมที่ทำให้เลือดแข็งตัวช้า เป็นเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนการฉีด เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดรอยช้ำ 
  • งดสกินแคร์ผลัดเซลล์ผิว หรือการสครับหน้าอย่างน้อย 1 สัปดาห์ เพื่อเตรียมผิว
  • งดสูบบุหรี่ก่อนและหลังการฉีดอย่างน้อย 24 ชั่วโมง เพื่อช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น 
  • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนการฉีด เพื่อลดอาการบวม 
  • งดการออกกำลังกายหนักก่อนและหลังการฉีด 24 ชั่วโมง เพื่อลดอุณหภูมิของร่างกาย และลดการไหลเวียนของเลือด 
  • งดซาวน่า อบไอน้ำ ก่อนและหลังการฉีด 24 ชั่วโมง 
  • หากมีคอร์สหัตถการเกี่ยวกับใบหน้า ให้ทำก่อนฉีดฟิลเลอร์อย่างน้อย 72 ชั่วโมง

การดูแลตัวเองหลังเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์

  • หลังฉีดฟิลเลอร์สามารถขยับใบหน้าได้ตามปกติ แต่หลีกเลี่ยงการกดแรง ๆ บริเวณที่ฉีด 
  • นอนหงาย นอนตะแคงได้ตามปกติ แต่ระวังการกดทับในช่วง 2 สัปดาห์แรก 
  • ออกกำลังกายเบา ๆ ได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก อย่างน้อย 1 สัปดาห์ 
  • งดดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อลดอาการบวม และช้ำ อย่างน้อย 72 ชั่วโมง 
  • ประคบเย็น อย่างน้อย 24 ชั่วโมง 
  • หลีกเลี่ยงการนวด และสัมผัสจุดที่ฉีดอย่างน้อย 24 ชั่วโมง 
  • งดทาครีมบริเวณที่ฉีด อย่างน้อย 24 ชั่วโมง 
  • ทาครีมกันแดดป้องกันรังสี UV อย่างต่อเนื่อง 
  • รับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง 
  • พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ 
  • หากมีอาการผิดปกติควรปรึกษาแพทย์ทันที

อาการหรือผลข้างเคียงหลังเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์

หลังจากฉีดฟิลเลอร์ เราอาจพบอาการ หรือผลข้างเคียงเหล่านี้ได้เล็กน้อย ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่มักจะหายไปเองหลังจากผ่านไประยะเวลาหนึ่ง แต่ถ้าอาการไม่ทุเลาลง หรือมีอาการหนักขึ้น แนะนำว่าควรไปพบแพทย์ทันที

  • บวม: เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุด และมักจะหายไปภายใน 2-3 วัน 
  • แดง: บริเวณที่ฉีดอาจมีรอยแดง ซึ่งจะหายไปเองภายใน 1-2 วัน 
  • ช้ำ: อาจเกิดรอยช้ำเล็กน้อย ซึ่งจะหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์ 
  • คัน: อาจรู้สึกคันบริเวณที่ฉีด ซึ่งเป็นอาการที่พบได้น้อย
  • ปวด: อาจรู้สึกเจ็บหรือปวดเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด

ฉีดฟิลเลอร์ราคาเท่าไหร่ ?

เนื่องจากราคาของการฉีดฟิลเลอร์ มีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับยี่ห้อที่เลือกใช้ รุ่นที่เราต้องการ บริเวณที่เราอยากฉีด รวมไปถึงสถาบันที่เราไปรับบริการ แต่เราสามารถทราบราคาคร่าว ๆ ของการฉีดฟิลเลอร์แต่ละจุดบนใบหน้าได้ตามรายละเอียดต่อไปนี้

  • ฟิลเลอร์หน้าผาก ราคาเริ่มต้นประมาณ 14,000 บาท
  • ฟิลเลอร์ขมับ ราคาเริ่มต้นประมาณ 11,000 บาท
  • ฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาเริ่มต้นประมาณ 8,000 บาท
  • ฟิลเลอร์ร่องแก้ม ราคาเริ่มต้นประมาณ 9,900 บาท
  • ฟิลเลอร์ปาก ราคาเริ่มต้นประมาณ 13,000 บาท
  • ฟิลเลอร์คาง ราคาเริ่มต้นประมาณ 9,900 บาท

คำถามเกี่ยวกับ Filler ที่พบบ่อย

ต้องรอให้ฟิลเลอร์เดิมสลายหมดก่อนไหม ถึงจะฉีดเพิ่มได้ ?

ไม่เสมอไป เพราะการฉีดฟิลเลอร์สามารถเติมได้เรื่อย ๆ ตามความต้องการ และความเหมาะสม แต่เราแนะนำว่าควรอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์ทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยของตัวเราเอง

หลังฟิลเลอร์สลายหมดแล้ว เปลี่ยนยี่ห้อที่ฉีดได้ไหม ?

ได้ เราไม่จำเป็นต้องใช้ฟิลเลอร์ยี่ห้อเดิมเสมอไป เพราะฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่น มีจุดเด่นแตกต่างกันไป หากเราไม่มั่นใจว่าควรเลือกยี่ห้อไหน สามารถขอคำแนะนำจากแพทย์ได้โดยตรง

ถ้าฟิลเลอร์สลายหมด จะทำให้หน้าแก่กว่าเดิมไหม ?

ไม่จริง กลับกันเลยต่างหาก บริเวณที่เราเคยฉีดฟิลเลอร์ไว้ จะมีสุขภาพดีขึ้นกว่าเดิม เพราะการฉีดฟิลเลอร์เป็นการเติมความชุ่มชื้นให้กับผิว ส่งผลให้ร่างกายสร้างคอลลาเจน และอิลาสตินในชั้นผิวเพิ่มขึ้น แม้ฟิลเลอร์จะสลายไป แต่คอลลาเจน กับอิลาสตินจะยังทำงานอยู่ในร่างกายเหมือนเดิม

หลังฉีดฟิลเลอร์ห้ามโดนความร้อนจริงไหม

ไม่จริง เพราะกรดไฮยาลูรอนิกไม่ได้ถูกทำลาย หรือสูญสลายได้ด้วยความร้อน การห้ามไม่ให้ใบหน้า หรือบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์โดนความร้อน ถือเป็นการยืดอายุของฟิลเลอร์ให้อยู่นานขึ้นทางหนึ่ง การโดนความร้อนเล็กน้อยในชีวิตประจำวันถือว่าทำได้

สาขา จามจุรีสแควร์

ชั้น 3 ตึกจามจุรีสแควร์ ข้างร้านกาแฟมวลชน
(ลง MRT สามย่าน , จอดรถในตึกฟรี 2 ชม.)

Phone

สาขา อ่อนนุช

ใต้คอนโดไอดิโอ โมบิ สุขุมวิท ตึกบี ติดร้านทำผม
(ลง BTS อ่อนนุช ทางออก 3, จอดรถหน้าร้าน)

Phone

Open everyday

11:00 – 20:00

ปรึกษาฟรี ทักไลน์ไอดี